เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๑๙ ก.พ. ๒๕๔๗

 

เทศน์เช้า วันที่ ๑๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๗
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดสันติธรรมาราม ต.คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

วันพระ เราตั้งใจกัน วันพระเราพยายามหาตัวตนของเราให้ได้ พระอยู่ที่ใจ เวลาว่า ปฏิบัติต้องไปวัดไหม ไม่ต้องไปวัดก็ปฏิบัติได้...ใช่ อยู่ที่ไหนก็ปฏิบัติได้ เพราะอะไร เพราะเราต้องค้นหาตัวเราเอง พุทโธ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน สัมมาสมาธิ ถ้าจิตสงบเข้ามานี้ อ๋อ! สมาธิเป็นอย่างนั้นเหรอ จิตเป็นอย่างนั้นเหรอ เข้าใจสภาวะตามความเป็นจริง นี่พุทโธ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน แต่พุทโธผู้โง่เขลา รู้ ทำสมาธิได้ ดูอย่างฤๅษีชีไพรสิ

ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน มันจะรู้ มันจะตื่น มันจะเบิกบานต่อเมื่อมันเจอธรรมไง มันเจอธรรม มันเจอองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เจอธรรมะ เห็นไหม ดูกาฬเทวิลสิ ระลึกชาติได้ ๔๐ ชาติ อดีตได้ ๔๐ ชาติ อนาคตได้ ๔๐ ชาติ ไปอยู่บนพรหมนะ เจ้าชายสิทธัตถะเกิดขึ้นมา ลงมาจากพรหมนะ มาขอดูว่าเจ้าชายสิทธัตถะเกิดนี้จริงหรือเปล่า ขอดูอาการ ๓๒ นี่เจ้าชายสิทธัตถะนี้เป็นพระพุทธเจ้าแน่นอน กาฬเทวิลทายไว้เลยว่าพระพุทธเจ้าแน่นอนเลย ดีใจมากเลย จะได้คนที่มาชี้ทางให้เรา แล้วก็ร้องไห้ ร้องไห้เพราะต้องตายก่อน เพราะเขารู้อดีตอนาคตของเขา นี่ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานไหม

ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน เบิกบานเพราะอะไร เพราะเราเข้าใจธรรมตามความเป็นจริง แล้วเราจะต้องประพฤติปฏิบัติ แก้ไขให้กิเลสออกไปได้ เราถึงเจอองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เจอธรรมวินัยนี้ มันถึงสำคัญมาก ธรรมและวินัยนี้จะทำให้เราเข้าถึงสภาวะ สภาวะที่เป็นความจริงไง ที่ผู้ตื่นและผู้เบิกบาน

ถ้าผู้ไม่ตื่นนะ พุทโธนี้มันก็หลับใหลอยู่นั่น หลับใหลอยู่กับความรู้สึกอันนั้น หลับใหล เห็นไหม กาฬเทวิลก็อยากจะออกนะ เพราะรู้อยู่ว่าตัวเองไม่สิ้นกิเลสหรอก ตัวเองยังอยู่ในวังวนของวัฏฏะ เพราะอะไร เพราะไปสถิตอยู่บนพรหมนะ ทั้งๆ ที่มีชีวิตอยู่ ถอดจิตขึ้นไปอยู่บนพรหมได้ เพราะอะไร เพราะอำนาจวาสนาเขาสร้างมาขนาดนั้น แต่เขาไม่ได้เจอธรรม เขาไม่ได้เจอมรรคญาณขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราถึงต้องพยายามทำความสงบของใจของเราขึ้นมา

เขาว่าถ้าทำความสงบของใจแล้วมันจะติด ถ้ามันจะติดอย่างไรมันก็แก้ไขได้ แต่ถ้าเราไม่มีความสงบของใจ ถ้าเราใช้ความคิด ถ้ามันเป็นมิจฉาทิฏฐินะ ความเห็นของเรานี้มันจะยิ่งแตกแขนงออกไปตามความเห็นของตัว อันนั้นเป็นธรรม อันนี้เป็นธรรม ธรรมนั้นเป็นอุปกิเลส ๑๖ โอภาส ความสว่างไสว ความเวิ้งว้าง ความว่าง ว่างขนาดไหนมันก็เป็นกิเลสอีกชั้นหนึ่ง

เราจะชำระกิเลส แต่เราเจอธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า กิเลสมันบังเงาไง มันเอาธรรมอันนั้นมาฟันเรานะ ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี่ แต่มันอ้างอิงไง มันอ้างอิง มันเกาะเกี่ยว มันบิดเบือน มันบังธรรมอันนั้นไป มันเลยไม่เป็นความจริงไง เป็นการก็อบปี้ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ว่าอันนี้เป็นธรรมๆ มีความว่าง เราก็ว่างหมดๆ แล้วกิเลสมันจะมีมานะมาก

เวลาพระปฏิบัติ เวลาฟังเทศน์ของหลวงตา เห็นไหม มันเวิ้งว้าง มันว่างหมด แล้วเราก็เทียบกับของเรา ใจเราก็ว่างมาก เวิ้งว้างมาก เข้าได้เม็ดหินเม็ดทราย เข้าได้หมดเลย แล้วมันจะไปติดกิเลสได้อย่างไร แต่ยังไม่ได้คิดเลยว่าถ้าเราจับกายได้ จับเวทนาได้ มันจะเห็นนะ “อ๋อ! กิเลส ตัวตนมันอยู่ที่เอง” จะเห็นจากตรงนี้ได้นี้ วิปัสสนามันจะเกิด

วิปัสสนามันจะเกิด มันจะเกิดตรงไหน? เกิดตรงที่ว่า จิตเราสงบก่อน มีความสงบของเรา ดูกาย เวทนา จิต ธรรม ดูความคิดก็ได้ ถ้าจิตมันสงบมาก เราก็ดูความคิดของเรา ความคิดที่มันคิดนี่ ถ้ามันมีสมาธิ มีสตินะ มันจะทันความคิดของเรา เราจะเห็นโทษของมันเอง ถ้าเราเห็นโทษของมันเอง นี่วิปัสสนาอย่างหยาบๆ อันนี้ก็เป็นวิปัสสนา เพราะอะไร เพราะกายกับจิต เราดูความคิดก็ได้ ดูกายก็ได้ ถ้าเห็นกาย เราก็ดูกาย ถ้าไม่เห็นกาย เราดูความคิดของเรา จับความคิดของเราวิปัสสนาไป ถ้าจิตมันสงบขึ้นมา ถึงที่สุดแล้วมันจะเห็นกายของมัน วิปัสสนาเริ่มตรงนี้

แต่การพิจารณากายนอกมันก็ใช้ได้ กายนอกคือดูความแปรสภาพไป ดูความสลดสังเวช อย่างเช่นที่ว่า รถชน อุบัติเหตุต่างๆ เราเห็นขึ้นมา ถ้าเราเป็นอย่างนั้นได้ไหม ดูชีวิตสัตว์สิ เขาบอกชีวิตของไก่ที่เขาฆ่ากัน ชีวิตมันแค่ ๔๕ วันเท่านั้น เวลามันเกิดมา เวลามันออกมาจากไข่ เขาเลี้ยงแค่ ๔๕ วัน เขาก็ฆ่ามันแล้ว นี่เป็นอาหารของมนุษย์ มันเกิดมาเป็นสภาวะแบบนั้น แล้วสัตว์ป่าล่ะ สัตว์ป่าเขามีชีวิตของเขานะ เขาจะกินอาหารของเขาแต่ละมื้อ เขาต้องแลกด้วยชีวิตของเขา พรานป่าเขาจะรู้เลยว่ามันจะไปกินอาหารที่ไหน มันจะไปกินน้ำที่ไหน เขาจะดักยิงมัน มันต้องแลกอาหารของมันมาด้วยชีวิตของมันนะ ชีวิตของมันนี้แลกกับอาหารมื้อหนึ่งก็อิ่มไปมื้อหนึ่งวันหนึ่ง

เราเกิดเป็นมนุษย์นี้ เรามีอำนาจวาสนามาก เพราะมนุษย์มีกฎหมายคุ้มครองอยู่ มนุษย์นี้เป็นสัตว์ประเสริฐ สัตว์ประเสริฐคือให้อภัยกัน แล้วอ้างอิงว่าสิ่งนั้นเป็นอาหารเราๆ แต่ถ้าเรามีศีล เราทำไม่ได้หรอก เราฆ่าสัตว์ไม่ได้หรอก สัตว์น่ะ ทุกชีวิต ทุกสิ่งที่มีชีวิตนั้นเขาต้องปรารถนาความสุขทั้งนั้น เขาเกลียดความทุกข์ เราก็ปรารถนาความสุข เราก็เกลียดความทุกข์ แล้วเราแสวงหาของเรา

ปัจจุบันนี้ถ้าเราพึ่งพาอาศัยกันนี้ เราไม่มีอาชีพ เราก็พยายามเลี้ยงชีวิตของเราไปได้ อาหารนี้คนอื่นจุนเจือเราได้ เราสามารถจุนเจือเราได้ แต่เวลาทุกข์ในหัวใจนี้ไม่มีใครจุนเจือใครได้นะ มีแต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าชี้นำทางให้เรา แล้วมันเป็นสิ่งที่ละเอียดอ่อนมาก เวลาเราระลึกได้ พระสารีบุตรเวลาจะนอนครั้งไหนก็แล้วแต่ จะต้องกราบพระอัสสชิก่อน รู้ว่าพระอัสสชิอยู่ทางไหน จะกราบพระอัสสชิก่อน เพราะอะไร เพราะว่าแสวงหาสิ่งนี้มาตลอด ไปอยู่กับสัญชัย “สิ่งนี้ก็ไม่ใช่ สมาธิก็ไม่ใช่ ปัญญาก็ไม่ใช่ สิ่งที่ว่าไม่ใช่ก็คือความไม่ใช่” ปฏิเสธทุกอย่าง แล้วไม่มีเหตุไม่มีผล นี่คนมีปัญญาอยู่ แล้วมันจะวนไปไหน แล้วมันจะไปสิ้นสุดที่ไหนล่ะ แล้วการปฏิบัติมันจะไปสิ้นสุดที่ไหน แล้วผลลัพธ์มันจะมาเป็นอย่างไร แล้วความพ้นจากทุกข์มันจะมาอย่างไร ก็ลังเลสงสัย เห็นไหม ลังเลสงสัยตลอด

จนได้สัญญากับพระโมคคัลลานะ ถ้าเราเจอคนที่เขารู้จริง ใครเจอก่อนต้องบอกกันนะ ต้องบอกกัน พระสารีบุตรเจอพระอัสสชิบิณฑบาตอยู่ การเดินการเหินนี้มันออกมาจากใจ ใจคึกใจคะนองมันออกมาขนาดไหน มันก็คึกคะนองออกมาตามอำนาจกิเลสของมัน มันคึกคะนองออกมาขนาดไหน มันก็ปรารถนาผลประโยชน์ของมัน

ใจของผู้บริสุทธิ์เคลื่อนไหวไปนี้ สอุปาทิเสสนิพพาน ขันธ์ ๕ ที่เป็นภาระ ธาตุขันธ์ชีวิตนี้มันมีอยู่ แต่มันเป็นความสะอาดบริสุทธิ์ สิ่งที่สะอาดบริสุทธิ์เพราะไม่มีกิเลส เคลื่อนไหวไปตามอำนาจของธรรม พระสารีบุตรเห็นสภาวะแบบนั้นถึงตามไปก่อน ยิ่งดูมันยิ่งซึ้งใจ จนขอฟังธรรมนะ

“เราเป็นผู้บวชใหม่ เรายังไม่รู้ธรรมะลึกซึ้งหรอก”

“เอาเล็กน้อยก็ได้ เอาเล็กน้อยก็ได้”

“องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนบอกว่าเหตุใดเหตุหนึ่ง สิ่งทั้งหลายที่เกิดขึ้นมา ย้อนมานี่มีเหตุผลทั้งนั้น ไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นมาลอยๆ ต้องสาวไปหาเหตุ แล้วดับที่เหตุนั้น”

นี่ความสงบของใจ เพราะคำบริกรรมอย่างไรก็แล้วแต่ ขนาดไหนก็แล้วแต่ ก่อนพุทธกาล ฤๅษีชีไพรเขาก็ทำความสงบของเขาได้ แต่มันไม่มีธรรมอันนี้ พระสารีบุตรทำความสงบของใจขึ้นมาแล้ว เพราะอยู่กับสัญชัยมาก่อน พอสิ่งนี้เข้าไปสะเทือนใจนะ มันไม่ใช่ ไม่ใช่หรอก สิ่งนี้มาจากเหตุ อะไรที่สาวไปหาเหตุ ต้องไปดับที่เหตุนั้น เห็นไหม สิ่งที่ดับเหตุนั้นมีดวงตาเห็นธรรม เป็นพระโสดาบันขึ้นมาทันทีเลย แล้วไปบอกพระโมคคัลลานะก็เป็นพระโสดาบันขึ้นมา

บุญคุณอันนี้มันใหญ่หลวงนัก จะนอนที่ไหน จะต้องกราบไปที่นั่น กราบพระอัสสชิก่อน เห็นไหม ขนาดที่ว่าพระอัสสชิสอนมาขนาดนั้น แล้วไปขอบวชกับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนจนพระสารบุตรกับพระโมคคัลลานะนี้เป็นพระอรหันต์ขึ้นมา สิ้นกิเลสทั้งหมดในหัวใจ แต่เวลากราบ กราบถึงผู้ชี้นำไง กราบพระอัสสชิก่อน กราบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า รักเคารพองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาก

จนสุดท้าย ผู้ที่มีปัญญาไปท้า นี่อยู่ในธรรมบท มันมีภิกษุณีองค์หนึ่งเก่งมาก ตอบปัญหากับใครชนะหมดเลย แล้วไม่มีใครสามารถจะโต้ตอบได้ เขาถึงปักป้ายว่าเขาต้องการโต้ธรรมะกับใครก็ได้ พระสารีบุตรไปเจอเข้านี่ผลักหลักนั้นล้มเลย เขาไปเห็นเข้านี้ คนที่เป็นคนผลักหลักของเขาล้มนี้คือใคร? คือพระสารีบุตร ตามไปหานะ แล้วโต้ตอบธรรมกันนะ แก้ปัญหาของเขาได้หมด เวลาพระสารีบุตรถามปัญหาเขาบ้าง

“หนึ่ง ไม่มีสองคืออะไร”

เขาตอบไม่ได้นะ “หนึ่ง ไม่มีสอง” เขาตอบอะไร พระสารีบุตรก็แก้หมด

“มันมีของคู่ทั้งหมด โลกนี้เป็นของคู่ ไม่มีของหนึ่งเลย อยากรู้ไหม อยากรู้ต้องมาบวชกับพระสารีบุตร”

หนึ่ง ไม่มีสองนั้น เอโก ธัมโม ธรรมเป็นเอก เอกนี้ไม่มีสอง หนึ่งเดียว ไม่มีสอง ไม่มีเลย นิพพานนี้หนึ่งเดียวเท่านั้น ไม่มีสอง โลกนี้ไม่มี สิ่งใดเกิดขึ้นมาเป็นของคู่ทั้งนั้น

พระสารีบุตรเป็นผู้ที่มีปัญญามาก เป็นผู้ชี้นำสัตว์โลกต่างๆ ออกไปตามสภาวธรรมที่ตามความเป็นจริง นี่ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน มันจะตื่น มันจะเบิกบานขึ้นมา แต่ว่าเราสามารถใช้ปัญญาของเราได้ ปัญญาอันนี้เป็นภาวนามยปัญญาจะเกิดขึ้นมาจากเราได้ เราตั้งใจของเรา ทุกคนจะล่วงพ้นทุกข์ด้วยความเพียร เราต้องมีความเพียรของเรา เราอย่าน้อยเนื้อต่ำใจว่าเราทำของเราแล้วไม่ได้ผล จะต้องได้ผล

เหตุ เราสร้างเหตุตลอดไป พระอัสสชิบอกกับพระสารีบุตรว่าทุกอย่างต้องสาวไปหาเหตุ นี้เราก็หาเหตุของเราให้เจอก่อน เหตุของเรา หาใจของเราให้เจอ หาพื้นที่ทำงานของเราให้เจอ ถ้าจิตนี้สงบ มันควรแก่การงาน มันจะเป็นการงานของเราขึ้นมา ถ้าจิตของเราไม่สงบ มันเป็นความคิดขึ้นไป มันเป็นปัญญาอบรมสมาธิ ถึงที่สุดก็ทำได้ ใช้ปัญญาอบรมสมาธิของเราเข้ามา ใช้ปัญญาของเราใคร่ครวญเข้ามา ให้จิตสงบเข้ามา สงบเข้ามา แล้วใช้ความคิดอันนั้นไม่ไปทางไหน หมั่นคราดหมั่นไถอยู่กับที่ใจนี้ งานมันจะเกิดขึ้นมาที่นี่

เราเกิดขึ้นมาแล้ว เราทุกข์ขนาดไหน เราแสวงหาขนาดไหน มันเป็นสภาวะแบบนั้น ดูสิ อย่างไก่ ชีวิตของเขา เขาออกข่าวนะว่า ในเมืองไทยเลี้ยงไก่เป็นอาหารของมนุษย์นี้ ๒๐๐ ล้านตัว ต่อวังวนชีวิตของเขานี้ ๒๐๐ ล้านตัวนี้จะมีอยู่ตลอดไป เกิดแล้วจะโดนฆ่าตายตลอดไป แล้วของเรา เราก็จิตหนึ่ง เราก็เกิดมา เขาอายุ ๔๕ วัน แล้วเขาต้องตายไป ได้ภพชาติหนึ่งๆ แต่ของเรา ถ้าชีวิตของเรานี้ ๘๐ ปี ๑๐๐ ตายไป ตายไปแล้วเราได้ประโยชน์อะไรไป

การแสวงหาการอยู่ในโลกนี้มันก็แสวงหาสภาวะแบบนี้ไปตลอดไป แต่เราแสวงหาสิ่งที่เหนือกว่า แสวงหาสิ่งที่ดับทุกข์ในหัวใจ แสวงหาสิ่งที่ว่า ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน มันจะตื่น มันจะเบิกบานของเราขึ้นมา เพราะเราเห็นสภาวะความเป็นจริง มันจะเบิกบานมากนะ เวลาปัญญามันใคร่ครวญออกไป มันจะเห็นว่าสิ่งนี้ชำระกิเลสออกไป มันจะวางสิ่งนี้ อันนี้ทำไมเราติดอย่างนั้น

แล้วทุกคนถ้าผ่านออกไปแล้วมันจะมาติตัวเองนะ ทำไมเราโง่แท้ ทำไมเราโง่แท้ วุฒิภาวะของใจมันเปลี่ยนไปแล้วมันจะเห็นสภาวะแบบนั้นเลย แล้วผู้ที่สิ้นกิเลสออกไปจากใจ มันยิ่งมหัศจรรย์ใหญ่ แล้วมันสลดสังเวชไง สลดสังเวชที่ว่าเราไปบอกเขานะ คนที่เขาหยาบ เขาจะไม่ฟังหรอก เขาจะไม่ฟังสิ่งนั้น แล้วเขาจะติเตียนว่าคนที่บอกนั้นมีสติสัมปชัญญะพร้อมหรือเปล่า เขาพูดอะไรที่ว่าฟังแล้วไม่มีเหตุไม่มีผล

เวลาจะสอนใครมันถึงรู้จักความคิดของตัวเอง รู้ว่าเราควรพูดหรือไม่ควรพูด พูดไปแล้วจะเป็นประโยชน์หรือไม่เป็นประโยชน์ โลกเขานี้เวลาเขาคุยกัน เขาพูดกัน เขาพูดกันด้วยรู้เท่าทันกันเท่านั้นเอง แต่ของผู้ที่มีสติสัมปชัญญะ เห็นไหม อย่าดูถูกความนิ่งอยู่ของพระอริยเจ้าไง เพราะพูดไปไม่มีประโยชน์ เว้นไว้แต่สิ่งที่ควรแก่การงาน

หลวงปู่มั่นเป็นผู้ที่เป็นครูบาอาจารย์ เวลาสั่งสอนลูกศิษย์ลูกหา ทุ่มทั้งตัวนะ ทั้งข่ม ทั้งเปิด ทั้งหงายภาชนะ ทั้งทำให้ลูกศิษย์นี้รู้ออกมาได้ ทำไมถึงทำขนาดนั้นล่ะ เพราะว่ามันถึงเวลาไง มันถึงเวลาผู้ที่สูงกว่า พยายามดึงผู้ที่ต่ำกว่าขึ้นมาจากที่ต่ำ ขึ้นมาจากที่ต่ำให้ใจนั้นพัฒนาขึ้นมา พอใจนั้นพัฒนาขึ้นมาแล้ว นี่กราบครูบาอาจารย์ กราบถึงใจนะ กราบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า กราบถึงใจ ถ้าใจของผู้ที่มีธรรมในหัวใจ มันจะเคารพสิ่งนั้น

พระสารีบุตรทำไมเคารพพระอัสสชิมาก เพราะพระอัสสชิเป็นผู้ที่เปิดขุมทรัพย์อันนี้ให้ แล้วครูบาอาจารย์ของเราจะเปิดขุมทรัพย์ให้เรา ถ้าเราทำตามขึ้นมา เราแสวงหาสิ่งนั้นตามขึ้นมา เราก็จะได้ขุมทรัพย์ของเราขึ้นมา เห็นไหม ผู้ชี้ขุมทรัพย์ของเรา แล้วธรรมวินัยนี้วางไว้ให้สำหรับอันนี้ให้เป็นบรรทัดฐาน ถ้าพูดถึงครูบาอาจารย์สอนขนาดไหน ต้องย้อนกลับมาเทียบกับธรรมวินัย ถ้าเทียบกับธรรมวินัยมันก็ถูกต้อง แล้วใจของเราเข้าไปสัมผัสสิ่งนั้น มันก็ถูกต้องในหัวใจของเรา หัวใจของเราจะซึ้งกับใจนั้นมาก นี่เรากราบพระพุทธเจ้า กราบออกมาจากใจ

เวลาเขากราบกัน เขากราบเป็นพิธี เขากราบกันอย่างนั้น แต่ผู้ที่เข้าถึงนะ ดูอย่างทิเบตสิ เวลาเขากราบพระของเขา เขานอนไปทั้งตัวเลยนะ แล้วเขาทำไป นี่มันอยู่ที่ครูบาอาจารย์ เวลาซึ้งใจแล้วกราบด้วยความเคารพอย่างนั้น แล้วทำกันเป็นประเพณีมา ผู้ที่ทำตามก็ทำตามแต่ประเพณีเฉยๆ แต่ผู้ที่เข้าถึงใจนี้จะถึงใจมาก กราบพระ กราบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะถ้าไม่มีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะไม่มีธรรมอันนี้

ถ้าไม่มีธรรมอันนี้ กาฬเทวิลเก่งขนาดไหน รู้ขนาดไหน ยังต้องร้องไห้นะ ร้องไห้เพราะชีวิตเราต้องสิ้นไป โดยที่ว่าธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังไม่เกิดขึ้นมา จะไม่มีโอกาสอย่างนี้ เขาเข้าสมาบัติได้ เขาระลึกชาติได้ แล้วเรามีอะไร เรามีอะไรเป็นเครื่องยืนยันของเรา เรามีหลักธรรมของเรา เรามีสิ่งใดที่จะเป็นคุณประโยชน์กับเรา เราไม่มีอะไรเลย แต่ในขณะที่ว่าปัจจุบันนี้มีธรรมอยู่ เราพยายามสร้างสมของเราขึ้นมา เรามีโอกาสมากกว่ากาฬเทวิลหลายร้อยหลายพันเท่าเพราะธรรมมีอยู่ แล้วทำได้เหมือนกับยามีอยู่ ถ้ายามีอยู่ เชื้อโรคจะต้องสามารถหายได้ด้วยธรรมโอสถขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

แต่ธรรมโอสถ มรรค ๘ เกิดขึ้นมาจากการเราแสวงหา เกิดขึ้นมาจากเราพยายามแสวงหาขึ้นมา แล้วทำขึ้นมาให้เป็นยาของเรา ธรรมโอสถจะฆ่ากิเลสของเราออกไป นี่ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน จะเบิกบานในหัวใจดวงนั้น เอวัง